บริษัทหลักทรัพย์เลือกหุ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยง.

แนวรับเบื้องต้นอยู่ที่ 1,491 จุด ตามมาด้วยแนวรับถัดไปที่ 1,477 จุด โดยตลาดได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์การกระตุ้นเศรษฐกิจในจีนและความชัดเจนทางการเมืองในประเทศ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี กล่าว

ส่วนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับจีนจะเน้นไรับจดทะเบียนบริษัทปที่ IVL, PTTGC, KCE, HANA, WHA, AMATA

หุ้นในประเทศ (ธนาคาร ค้าปลีก กลุ่มเครื่องดื่ม) ที่น่าจับตามอง ได้แก่ BBL, SCB, ICHI, OSP

ส่วนหุ้นเข้าดัชนี SET-50 ผู้ลงทุนควรพิจารณา TLI และ WHA (ปรับน้ำหนัก ณ วันที่ 30 มิ.ย.)

ในด้านปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ ประจำเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 103.5 เพิ่มขึ้นจาก 102.3 ในเดือนพฤษภาคม โดยรวมแล้วเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ค่อยๆ ทรงตัว

นอกจากนี้ ในวันที่ 30 มิถุนายน สหรัฐฯ จะเปิดเผยดัชนีราคาค่าใช้จ่ายการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) โดยคาดการณ์ว่าตลาดจะอยู่ที่ +4.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะเดียวกัน ยูโรโซนหรือสหภาพยุโรปได้ประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) โดยคาดว่าตลาดจะเพิ่มขึ้น +5.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี ลดลงจาก +6.1% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนพฤษภาคม และ +0.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี เดือน.

จีนรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของภาคการผลิตในเดือนมิถุนายน โดยมีมูลค่าตลาดประมาณ 49 และ PMI ด้านบริการที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 53.7 คาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในจีนจะเกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 กรกฎาคม

ข้อมูลการส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคมคาดว่าจะลดลง 8.0% เมื่อเทียบเป็นรายปี เทียบกับการลดลง 7.6% ในเดือนเมษายน การเมืองภายในโดยเฉพาะการจัดตั้งรัฐบาลผสมชุดต่อไป จะถูกจับตาอย่างใกล้ชิด หลังกกต.รับรองผลการเลือกตั้งในวันที่ 13 ก.ค.นี้

หุ้นน่าจับตามองสัปดาห์นี้:

HANA (ราคาเป้าหมาย 58 บาท) มีศักยภาพกระตุ้นเศรษฐกิจจากจีนต่อไป

ICHI (ราคาเป้าหมาย 17.2 บาท) ไตรมาส 2 ปี 2566 กำไรแตะจุดสูงสุดแล้วราคาหุ้นกลับเข้าสู่โซนการลงทุน

แม้ปิดเหนือ 1,500 จุดเมื่อวันศุกร์ แต่บล.กรุงศรีตั้งข้อสังเกตว่าการฟื้นตัวยังคงมีข้อดีที่จำกัด เนื่องจากขาดปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญและแรงกดดันจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่ชัดเจน รวมถึงหุ้นขนาดกลางถึงขนาดเล็กที่ยังคงสูญเสียความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยเฉพาะในหมู่นักลงทุนต่างชาติ

คาดว่าดัชนี SET จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,490-1,520 จุดในสัปดาห์นี้ กลยุทธ์การลงทุนจะไม่เรียกร้องให้มีการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอเพิ่มขึ้น เนื่องจากดัชนีมีแนวโน้มปรับลดลงอีกเนื่องจากความเสี่ยงต่างๆ ในอนาคตอันใกล้นี้ หุ้นระยะสั้นแนะนำ ได้แก่ CPN (ราคาเป้าหมาย 83 บาท), CPALL (ราคาเป้าหมาย 72 บาท), BBL (ราคาเป้าหมาย 190 บาท) และ KTB (ราคาเป้าหมาย 21.40 บาท)

ข้อมูลจาก https://www.nationthailand.com/